วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2557

หนังสือหุ้นบทที่2 : ทำไมคนจนจึงควรเข้าตลาดหุ้น



"หุ้นคือสินทรัพย์ที่เหมาะกับคนจน เพราะเริ่มได้ด้วยทุนน้อย และหาความรู้ง่าย"

คุณอาจคุ้นกับกับประโยคว่า
"คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" แต่ส่วนตัวผม มันผิดถนัด
เพราะตลาดหุ้นคือเครื่องมือที่ช่วยให้คนธรรมดาลืมตาอ้าปากได้ หากรู้วิธีและอดทนพอ


แล้วหุ้นคืออะไร ทำไมถึงเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะกับคนจน
ก็ต้องอธิบายย้อนไปถึงวันก่อตั้งบริษัท

เมื่อเริ่มตั้งบริษัทฯ กฎหมายกำหนดว่าบริษัทฯต้องมี "หุ้น"
และผู้ก่อตั้งบริษัท ต้องจ่ายเงิน "ซื้อหุ้นตามจำนวนที่กำหนด
ตัวอย่างเช่น นาย ก ต้องการตั้งบริษัท "เพื่อชาติจำกัด โดยมีเงินทุน ล้านบาท
จึงยื่นเรื่องตั้งบริษัท โดยกำหนดว่าบริษัทฯมีหุ้นทั้งหมด ล้านหุ้น หุ้นละ บาท
นาย ก ต้องจ่ายเงินซื้อหุ้นทั้งหมด ล้านบาท จึงสถาปนาตัวเองเป็น "เจ้าของหุ้น" 1 ล้านหุ้น 
เงิน ล้านนี้จะเข้าบริษัทฯ และเป็น "ทุน"ทำธุรกิจ เช่น ซื้อสำนักงาน ซื้อของขาย จ่ายเงินเดือน เป็นต้น
โดยเงิน ล้าน เรียกว่า "ส่วนของเจ้าของ"
ส่วน ราคาหุ้น บาท เรียกว่า "มูลค่าหุ้นตามบัญชี"

สรุปคือ หุ้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมบริษัทฯนั่นเอง



จุดกำเนิดของหุ้น



**ราคาของหุ้นเพิ่มขึ้นได้อย่างไร**

ราคาหุ้นจะเพิ่มเมื่อบริษัทฯทำกำไรได้
โดยท่านลองจิตนาการว่า ส่วนของเจ้าของ 5 ล้าน อยู่ในกล่องโปร่งใส ที่ใครก็เห็นจำนวนเงินข้างในได้
เริ่มปีแรก เจ้าของก็จะนำเงินนี้ เป็นทุนทำธุรกิจ
โดยสิ้นปีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ ก็จะนำเงินทั้งหมดที่เหลือมาใส่กล่อง ทำแบบนี้ปีแล้วปีเล่า
ตัวอย่างเช่น สิ้นปีกำไร 1 ล้าน ส่วนของเจ้าของกลายเป็น 6 ล้าน (ทุน+กำไร)
ปีที่2มีกำไรอีก 1 ล้าน ส่วนของเจ้าของเพิ่มเป็น 7 ล้าน
สิ้นปีที่ 2  มูลค่าหุ้นตามบัญชีจะกลายเป็น 7 บาทต่อหุ้น
เพราะมูลค่าหุ้นตามบัญชีเท่ากับ ส่วนของเจ้าของ / จำนวนหุ้นทั้งหมด (7ล้านบาท/1ล้านหุ้น)


ในโลกความจริง สาธารณะชนสามารถเห็นส่วนของเจ้าของ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า งบการเงิน
ย่อมมีคนคิดได้ว่า หากบริษัทฯกำไรต่อเนื่อง มูลค่าหุ้นตามบัญชีจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
จึงแย่งซื้อหุ้นกันอุตลุด เพื่อหวังซื้อต่ำขายสูงในอนาคต
ซึ่งเจ้าของย่อมไม่ขาย5บาทแน่  ในเมื่อราคาตามบัญชีเพิ่มเป็น7บาทแล้ว
ผู้ซื้อจึงต้องจ่ายมากกว่า 5 บาท ส่วนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ตกลง
จึงเห็นว่า หากบริษัทฯกำไรต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ราคาของหุ้นย่อมเพิ่มขึ้นด้วย


**ทำไมหุ้น จึงเป็น สินทรัพย์**

โดยเมื่อซื้อหุ้น เราจะได้ประโยชน์ทางตรง 2 ประการคือ

1.   ปันผล  2. สิทธิในการซื้อขายหุ้น

ซึ่งปันผลคือ เงินหรือหุ้นที่บริษัทจ่ายให้เรา หากสิ้นปีมีกำไร
หากบริษัทไหน กำไรเพิ่มขึ้น ปันผลจะยิ่งมาก เพราะปันผลจ่ายเป็น % ของกำไร
ตัวอย่างเช่น บริษัทมีนโยบายจ่ายปัน 50% ของกำไรสุทธิ
ปี1 กำไรสุทธิ 100 บาท ปันผล 50% ของกำไรคือ 50 บาท
ปี 2 กำไรสุทธิ 120 บาท ปันผล 50% คือ 60 บาท 
ยิ่งกำไรมากขึ้นเท่าไหร่ เงินสดยิ่งไหลมาเทมาสู่เจ้าของหุ้นมากเท่านั้น


แล้วเราจะหาหุ้นแบบนี้ได้ที่ไหน
ผมจึงขออนุญาต เสนอหุ้นของบางบริษัทฯที่ซื้อขายในตลาดหุ้น ดังรูปข้างล่าง



             




จะเห็นว่าเป็นธุรกิจใหญ่โตคับประเทศ สินค้าของบริษัทเหมือนกระดูกสันหลังที่ค้ำจุนเศรษฐกิจไทย
เพราะกิจกรรมเศรษฐกิจ คมนาคมขนส่ง กิจวัตรของประชาชน จำเป็นต้องใช้สินค้าของบริษัทฯเหล่านี้ทั้งสิ้น
เช่น บริษัทต้องกู้เงินจากแบงค์ หากไม่มีเงิน บริษัทฯก็ล่มสลาย
รถและเรือต้องใช้น้ำมัน หากไม่มีน้ำมัน การขนส่งก็เป็นอัมพาต
คนต้องกินต้องใช้  หากไม่มีสินค้าอุปโภคขาย ผู้คนจะเดือดร้อน เกิดความโกลาหล วุ่นวาย
บริษัทเหล่านี้ จึง "เจ๊งโคตรยาก" เพราะ ขายสิ่งจำเป็นในชีวิต


ยิ่งกว่านั้น บริษัทฯยังกำไรต่อเนื่องและมีโอกาสเติบโตไปเรื่อยๆ ตามประชากรที่เพิ่มขึ้น
เพราะสินค้าบริษัทคือสิ่งที่คนต้องกิน ต้องใช้ ต้องบริโภคในชีวิตประจำวัน
เมื่อคนเพิ่ม ความต้องการสินค้าย่อมเพิ่ม กำไรจึงพุ่งตามด้วย
อีกทั้งแต่ละบริษัทก็มีความสามารถแข่งขันสูงมาก กินขาดคู่แข่งทุกประตู
บางบริษัทก็ผูกขาดธุรกิจไปเลย คู่แข่งโดนถ่วงน้ำไม่ได้ผุดได้เกิด
จึงกำไรซ้ำซาก มั่นคง สม่ำเสมอ และเติบโตต่อเนื่อง
หุ้นของบริษัทดีจึงเป็นสินทรัพย์ที่ผลิตเงินสดให้เจ้าของหุ้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
อีกทั้งยิ่งนาน มูลค่ายิ่งเพิ่มขึ้น เพราะกำไรสูงขึ้น
จึงเป็นสินทรัพย์ชั้นดี ที่คนธรรมดาซื้อหาได้ที่ตลาดหุ้นครับ

หุ้นของบริษัทที่ดี คือ สินทรัพย์ผลิตเงินสด


**ทำไมหุ้นจึงเหมาะกับคนจน**

คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น ผมไม่เห็นด้วยกับประโยคนี้เลย
เพราะจริงๆแล้ว หุ้นเหมาะสมกับคนเงินน้อย เนื่องจากข้อดี 3 ข้อ

1.     ทุนเริ่มต้นน้อย
2.     หาความรู้ง่าย
3.     โอกาสเปิดกว้าง



1. ทุนเริ่มต้นน้อย การซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก หุ้นดีบางตัว ราคาต่อ
หุ้นไม่แพง มีเงินหลักพันก็ซื้อได้แล้ว
หุ้นจึงเป็นสินทรัพย์ที่คนธรรมดาสามารถเอื้อมถึง
ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนเริ่มต้นมากมายมหาศาล หรือต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็น 
10 ล้าน เหมือน ซื้อที่ดิน สร้างโรงงาน อพาร์เมนต์


2.  หาความรู้ง่าย เพราะความรู้การลงทุนบนอินเตอร์เน็ต 
ชุกชุมยิ่งกว่ายุงในกรุงเทพ
หากลองค้นหาทาง google คุณจะพบเว็บไซด์การลงทุนเป็น
พันๆ วีดีโอสอนวิธีทำกำไรเป็นร้อย เอกสารเผยแพร่เป็นกระ
ต๊กให้คุณศึกษา ค้นคว้าแบบ nonstop 24 ชั่วโมง 
หรือมีข้อสงสัย ก็สามารถถามที่ webboard หุ้น ชั่วอึดใจก็จะ
มี เซียนหุ้น มาตอบให้หายสงสัย
แถมปัจจุบันมีหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น ตลาดหลักทรัพย์ 
โบรกเกอร์  มาจัดสัมนาให้ความรู้แบบถี่ยิบ
ที่สำคัญคือ 80%ของความรู้ข้างต้น ฟรี”  คนธรรมดาจึงเข้า
ถึงความรู้ได้ง่ายและไม่เสียเงินครับ




3. ตลาดหุ้นคือประตูสู่โอกาสของคนจน ตลาดหุ้นไม่ต้องการเส้น ไม่ต้องเป็นลูกท่าน
หลานเธอ ไม่ต้องมีประกาศนียบัตรใดๆ
เพียงแค่คุณมีอายุเกิน 18 และมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ประตูของตลาดหุ้นก็เปิดรับคุณเสมอ



ตลาดหุ้น จึงเป็นบันไดสู่การเป็น นักลงทุนที่คนธรรมดาสามัญก็สามารถปีนป่ายได้ เพราะใช้เงินทุนน้อยและเริ่มต้นง่ายนั่นเองครับ


 --------
ติดตามต่อบทที่ 3 : วิธีเริ่มต้นแบบคนไม่มีเงิน

นักเก็งกำไรด้วยปัจจัยพื้นฐาน

Read More »

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

reviewหนังสือหุ้น : บันทึกลับเซียนหุ้น



"หนังสือเล่มนี้ เปรียบเหมือนหนังเยี่ยมๆ ที่นอกจากสนุกแล้ว ยังได้ให้ข้อคิดเป็นประโยชน์ต่อชีวิตด้วย"
**เนื้อหา**
เป็นนิยายการลงทุน เล่าประวัติของ Larry Livingston นักเก็งกำไรใน Wall Streetเริ่มจากตอน Larry เป็นหนุ่มกระทง ทำงานในห้องค้าหุ้นเถื่อน เขาฉายแววเซียนหุ้น โดยทำกำไรก้อนโตจากการซื้อขายหุ้นกับห้องค้าหุ้นเถื่อนที่เขาทำงานอยู่จนถูก Blacklist เพราะเก่งจนห้องค้าหุ้นเถื่อนขาดทุนยับ จึงผันตัวมาเก็งกำไรแบบถูกกฎหมายและประสบความสำเร็จกลายเป็นเศรษฐี 

แต่ชีวิตพลิกพลัน เขาขาดทุนอ่วมอรทัยจากตลาด commodity ถึงขั้นล้มละลาย เพราะไปซื้อขายตามเซียน อย่างไรก็ตาม ด้วยความเชี่ยวชาญ เขาลุกขึ้นสู้ด้วยความมานะ และกลับมาเป็นเศรษฐีอีกครั้ง

เรื่องของ Larry จริงๆแล้วคือ ชีวิตและประสบการณ์จริงของนักเก็งกำไรระดับโลกอย่าง Jessie Livermore ผู้อ่านจึงมั่นใจได้ว่า "วิธีการ" ในหนังสือเป็นของจริง ที่ผ่านการยืนยันแล้วว่า "ใช้ได้" ไม่ใช่มโน นั่งเทียน หรือมั่วเอาเอง 

**สิ่งที่ผู้อ่านได้รับ** 
หนังสือบอกเล่าถึง "วิธีการเก็งกำไร" แบบ Livermore ว่าเขาทำอย่างไรจึงกลายเป็นมหาเศรษฐีจากหุ้น และ commodity เช่น วิธีการคัดเลือกหุ้น จุดดีที่สุดในการซื้อ จุดไหนที่น่าขาย วิธีบริหารเงินทุนไม่ให้เจ๊ง การอ่านความคิดของหมู่ชน และการเอาตัวรอดกับอะไรที่เป็น"สีเทา"ในตลาดหุ้น เช่น insider ข่าวลือ การโกหกตอแหลของนักค้าหุ้น เป็นต้น 


ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า ทั้งหมดในหนังสือคือการเสนอแก่นการเก็งกำไรแบบ Livermore คือ อยู่กับผู้ชนะ คือถ้าตลาดกระทิงชนะ ก็ long แต่ถ้าตลาดหมีชนะ จะ Short เพราะเขาเชื่อว่า ภาวะตลาดมีอิทธิพลเหนือราคาหุ้น ต่อให้บริษัทดีขนาดไหน เมื่อตลาดพัง ราคาหุ้นก็จะเละไปด้วย ดังนั้นการอยู่ฝั่งเดียวกับตลาด จึงเป็นสิ่งที่นักเก็งกำไรควรทำ ซึ่งวิธีการว่า ทำอย่างไรจึงจะอยู่ข้างเดียวกับตลาด ก็อยู่ในหนังสือนั่นเอง


หนังสืออธิบายถึง "ความคิด" ของมวลชนในตลาดหุ้น Livermore ชอบศึกษานิสัยของมนุษย์ และใช้ประโยชน์จาก"นิสัยพื้นฐาน"ของมนุษย์ นั่นคือ ความโลภและความกลัว มาเป็นข้อมูลประกอบการลงทุน ดังนั้นวิธีการของเขาจึง"ขลัง" เสมอ เพราะไม่ว่ากี่ปีกี่ชาติ นิสัยนี้ของมนุษย์ก็มั่งคงไม่เปลี่ยนแปลง


หนังสือยังให้ "ข้อคิดดีๆ" หลายข้อ ตัวอย่างเช่น ต้องทำงานหนักจึงสำเร็จ โดยเปิดเผยว่า การที่ Livermoreร่ำรวย ไม่ใช่เพราะโชคแต่มาจากการทุ่มเททำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย จนมีคำพูดในหนังสือว่า "นอกจาการ trade แล้ว ชีวิตผมแทบไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย" เขาจดบันทึกราคาหุ้นที่สนใจอย่างละเอียดยิบ จนรู้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า พฤติกรรมของรายใหญ่ที่เล่นหุ้นตัวนี้เป็นอย่างไร จึงค่อยลงมือ เขาจึงไม่ประหลาดใจ เมื่อเห็นคนหนุ่มกระเป๋าหนักขาดทุนอย่างหนักและออกจากตลาดอย่างบอบช้ำ เพราะคิดว่าการเก็งกำไรเป็นเรื่องง่าย ดังคำพูดว่า "ตลาดหุ้น คือที่ที่อันตรายมากสำหรับคนที่ไม่ชอบทำการบ้าน คนโง่ และคนที่ชอบรวยทางลัด"

**จุดเด่น**
จุดโดดเด่นของหนังสือคือ "ความเพลิดเพลิน" บันทึกลับเซียนหุ้น เปรียบเสมือนภาพยนต์เยี่ยมๆที่ดูสนุก เมื่อดูจบแล้ว ยังได้ข้อคิดที่มีประโยชน์ต่อชีวิตด้วย 
หนังสืออาศัยการเล่าเรื่องที่สนุก ชวนติดตาม ผ่านภาษาที่เข้าใจง่าย เต็มไปด้วยคำคมที่อ่านแล้วต้องบอกว่า "จี๊ด" จึงอ่านได้อย่างเพลิดเพลิน ไม่น่าเบื่อ ขณะที่ค่อยๆแทรกหลักการและวิธีการทำกำไรมาเป็นระยะ มันจึงเป็นการใส่ความรู้เรื่องการเก็งกำไรในสมองของเราแบบเนียนๆ และมีชั้นเชิง เพราะเราจะไม่รู้สึกว่าเป็นการอ่านข้อมูลวิชาการ แต่เป็นการอ่านนิยายสนุกๆ และเมื่ออ่านจบ ความรู้นั้นก็ผุดขึ้นเองในสมองมากกว่า 


**จุดด้อย(ในความคิดผม)**
หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 1923 นั่นคือเกือบ 100 ปีที่แล้ว เนื่องด้วยโด่งดังเป็นพลุแตก จึงมีคนอ่านมากมายมหาศาล นั่นหมายความว่า แนวคิดการเก็งกำไรแบบในหนังสือ จึงไม่ใช่เป็นความลับเหมือนชื่อหนังสือแต่อย่างใด แต่เป็น "สัจธรรมของการเก็งกำไร" ที่แพร่หลายและรับรู้กันอยู่แล้ว(เพียงแต่เราทำกันไม่ค่อยได้แค่นั้นเอง) 

ดังนั้น หากท่านจะหาหนังสือประเภทว่า "จากการวิเคราะห์หลายสิบปี เรามีความลับที่คนอื่นไม่รู้ มาเปิดเผยในหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้ท่านทำกำไรแบบหมูๆ" หนังสือเล่มนี้คงไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ครับ 


The end 

นกปจ
Read More »
Google