หลังจากดูการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของ Donald trump ในรายการ 60-minutes
ผมขอแสดงความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐและหุ้นไทยดังนี้
ผมขอแสดงความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐและหุ้นไทยดังนี้
สิ่งที่ Trump คงทำแน่และทำก่อนคือ การลดภาษีทั้งแบบบุคคลธรรมดาและธุรกิจ
โดยกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวมากที่สุดคือ เจ้าของกิจการและเศรษฐี
เพราะรายจ่ายลดลง มีเงินสดเหลือเยอะขึ้น
Trump เชื่อว่า หากมิลเลี่ยนแนร์ทั้งหลายมีเงินมากขึ้น
พวกเขาเหล่านั้นจะลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกิจการ เกิดการจ้างงานในสหรัฐมากขึ้น
เศรษฐกิจของอเมริกาจะเติบโต
โดยกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวมากที่สุดคือ เจ้าของกิจการและเศรษฐี
เพราะรายจ่ายลดลง มีเงินสดเหลือเยอะขึ้น
Trump เชื่อว่า หากมิลเลี่ยนแนร์ทั้งหลายมีเงินมากขึ้น
พวกเขาเหล่านั้นจะลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกิจการ เกิดการจ้างงานในสหรัฐมากขึ้น
เศรษฐกิจของอเมริกาจะเติบโต
เพื่อให้มั่นใจมากขึ้นว่า เจ้าของกิจการจะนำเงินมาลงทุนแทนที่จะฝากไว้ในธนาคาร
Trump จึงมีนโยบายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สนามบิน ไฟฟ้าประปา
Trump จึงมีนโยบายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สนามบิน ไฟฟ้าประปา
โทรคมนาคม โรงพยาบาล และอื่นๆอีกเพียบ
มูลค่าโครงการเวอร์วังอลังการกว่า 1 พันพันล้าน ดอร์ลาห์สหรัฐ
Trumpวาดฝันไว้ว่า โครงการเหล่านี้จะเป็นแม่เหล็กดูดเงินเศรษฐีให้มาลงทุนตามที่Trumpต้องการ
มูลค่าโครงการเวอร์วังอลังการกว่า 1 พันพันล้าน ดอร์ลาห์สหรัฐ
Trumpวาดฝันไว้ว่า โครงการเหล่านี้จะเป็นแม่เหล็กดูดเงินเศรษฐีให้มาลงทุนตามที่Trumpต้องการ
ผลจากนโยบายลดภาษีและสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
นำมาซึ่งความวิตกของนักวิเคราะห์การเงินตั้งแต่ก่อนทรัมป์ชนะเลือกตั้งแล้วว่า
หากทรัมป์ทำตามที่พูดจริง ปัญหาหนี้ของรัฐบาลสหรัฐที่สาหัสอยู่แล้วอาจเข้าสู่ขั้นวิกฤตของวิกฤต
เพราะต้องหาเงินมหาศาลมาจ่ายค่าสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่รายรับลดลง(ลดภาษี)
เมื่อรายได้ไม่สมดุลรายจ่าย ก็ต้องกู้เงินมาใช้
หนี้ใหม่สมทบหนี้เก่า สหรัฐจะแบกหนี้สููงยิ่งกว่าเทือกเขาหิมาลัย
พันธบัตรของสหรัฐจะมีค่าเหมือนขยะ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าอเมริกาจะหาเงินมาใช้หนี้ได้
ส่งผลให้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งการใช้จ่ายภาครัฐของสหรัฐต้องลดลง ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย
นำมาซึ่งความวิตกของนักวิเคราะห์การเงินตั้งแต่ก่อนทรัมป์ชนะเลือกตั้งแล้วว่า
หากทรัมป์ทำตามที่พูดจริง ปัญหาหนี้ของรัฐบาลสหรัฐที่สาหัสอยู่แล้วอาจเข้าสู่ขั้นวิกฤตของวิกฤต
เพราะต้องหาเงินมหาศาลมาจ่ายค่าสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่รายรับลดลง(ลดภาษี)
เมื่อรายได้ไม่สมดุลรายจ่าย ก็ต้องกู้เงินมาใช้
หนี้ใหม่สมทบหนี้เก่า สหรัฐจะแบกหนี้สููงยิ่งกว่าเทือกเขาหิมาลัย
พันธบัตรของสหรัฐจะมีค่าเหมือนขยะ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าอเมริกาจะหาเงินมาใช้หนี้ได้
ส่งผลให้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งการใช้จ่ายภาครัฐของสหรัฐต้องลดลง ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย
ปัญหาหนี้ของสหรัฐข้างต้น หากนักการเงินรู้
มีหรือที่ Trump ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจแสนล้านจะไม่ทราบ
ดังนั้น Trump จึงมีนโยบาย"โยกเงิน"
โดยลดค่าใช้จ่ายด้าน " Social Security and Medicare"
มีหรือที่ Trump ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจแสนล้านจะไม่ทราบ
ดังนั้น Trump จึงมีนโยบาย"โยกเงิน"
โดยลดค่าใช้จ่ายด้าน " Social Security and Medicare"
ซึ่งมีสัดส่วนสูงเกิน 50% ของรายจ่ายทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐ
แล้วมาจ่ายในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแทน เพื่อลดความจำเป็นในการกู้เงิน
แล้วมาจ่ายในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแทน เพื่อลดความจำเป็นในการกู้เงิน
ส่วนตัวเห็นว่า การบริหารรายจ่าย (Speding Management)คือ key sucess factor ของ Trump
หากทำไม่ดี สหรัฐก็บรรลัยเหมือนที่นักวิเคราะห์กังวล
แต่หากบริหารดี หาเงินมาใช้ได้โดยไม่ก่อหนี้มากเกินไป
คนก็จะเชื่อมั่นว่า สหรัฐเติบโตแบบมีคุณภาพ เงินจะไหลเข้าอเมริกามาก ดอล์ล่าร์จะแข็งค่า
หากทำไม่ดี สหรัฐก็บรรลัยเหมือนที่นักวิเคราะห์กังวล
แต่หากบริหารดี หาเงินมาใช้ได้โดยไม่ก่อหนี้มากเกินไป
คนก็จะเชื่อมั่นว่า สหรัฐเติบโตแบบมีคุณภาพ เงินจะไหลเข้าอเมริกามาก ดอล์ล่าร์จะแข็งค่า
จากเหตุผลข้างต้น ส่วนตัวผมเชื่อว่า หลัง Trumpชนะเลือกตั้ง
สินทรัพย์ที่น่าสนใจคือ US Dollar โดยข้อมูลวันที่ 14/11/59
อัตราแลกเปลี่ยน = 35.49 บาท ต่อ US Dollar
สัปดาห์เดียว US Dollar แข็งค่าขึ้นประมาณ 1.5%
จ่อใกล้จุดสูงสุดในรอบ1 เดือนแล้ว ส่วนจะทะลุหรือไม่
ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม บทความข้างต้นเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และมีจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง
เพื่อไม่ให้สูญเสียเงินต้นมากเกินไป
นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และมีจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง
เพื่อไม่ให้สูญเสียเงินต้นมากเกินไป
ขอให้ทุกท่านโชคดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น