วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนังสือหุ้นบทที่3 :วิธีการเริ่มต้นแบบคนไม่มีเงินและความรู้




หากเราเป็นคนธรรมดาหรือคนจนที่อยากเริ่มเป็นนักลงทุน คำถามคือ ถ้าไม่มีความรู้และเงินทุนเลย จะเริ่มต้นยังไง

คำตอบคือ หาความรู้ คือสิ่งแรกที่ต้องทำ

เพราะความรู้เป็นบิดามารดาของเงินทอง เงินทองคลอดมาจากความรู้เสมอ

และไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เป็นลูกชาวนา ชาวบ้านธรรมดา จน  ไม่มีความรู้ ไม่มีเส้นสาย คุณก็หาความรู้ได้ทันที ไม่มีอะไรขวางกั้นคุณจากความรู้ได้



ตอนเริ่มต้นลงทุน ผมไม่มีความพร้อมอะไรเลย พื้นฐานครอบครัวผมฐานะปานกลางค่อนทางยากจน

พ่อมาจากศรีษะเกษ บ้านนอก จน เรียนน้อย ไม่มีสมบัติ ไม่มีธุรกิจครอบครัว

ตอนเรียนผมก็ไม่จบการเงินหรือเศรษฐศาสตร์ จึงไม่มีพื้นฐานอะไรมากมาย

ตอนเริ่มลงทุนก็มีเงินแค่ 5,000 บาท น้อยกว่าหนี้สินที่มีแบบเทียบไม่ติด

แล้ววันหนึ่ง ผมได้ฟังคำพูดพี่พิชัย จาวลา พูดถึงการเริ่มต้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กล่าวไว้ว่า





ผมชอบคำพูดนี้มาก เพราะหากรู้วีธีลงทุน ปฎิบัติถูกต้อง จากไม่มีเงินจะเริ่มมีเงิน มีเงินน้อยก็จะพัฒนาเป็นมีมาก

ในทางกลับกัน แม้มีเงินมากมายมหาศาลขนาดกองท่วมหัว แตหากไม่มีความรู้ ปฎิบัติผิดพลาด ทุนก็จะหายกำไรจะหด ล้มเหลวในการลงทุนได้ 

ครั้งหนึ่ง นักข่าวสัมภาษณ์ เฮนรี่ ฟอร์ด ชายผู้ถีบตัวเองจากเด็กบ้านนอก ยากจน การศึกษาน้อย กลายเป็นเจ้าของโรงงานผลิตรถยนต์ที่ใหญ่และดีที่สุดในโลกว่า หากเกิดปัญหาและวิกฤตอย่างรุนแรงจนโรงงานของคุณล่มสลาย แล้วคุณสามารถเลือกเก็บสิ่งหนึ่งไว้ได้ คุณจะเลือกเก็บอะไร

ฟอร์ดลองให้นักข่าวลองทาย ส่วนมากตอบว่า เงินหรือวัตถุ เช่น เงินสด 10 ล้านดอลลาร์  โรงงาน หรือเทคโนโลยีผลิตรถยนต์

ฟอร์ดตอบว่า ไม่ใช่แล้วก็เอานิ้วชี้ไปที่หัวตัวเอง สิ่งเดียวที่ผมต้องการ คือ ความรู้ในสมอง

เพราะเงิน โรงงาน เทคโนโลยี ล้วนกำเนิดจากสิ่งที่อยู่ในหัวทั้งสิ้น แม้ทุกอย่างหายวับไปกับตา ตราบเท่าที่ผมยังมีความรู้ ผมก็สามารถสร้างมันกลับมาได้เสมอ

และนั่นก็คือเหตุผลว่า ทำไมความรู้คือสิ่งแรกที่ควรมี







เรียนรู้เรื่องอะไร

ตอนเริ่มต้น ความรู้ที่สำคัญที่สุดของนักลงทุนมี 2 เรื่อง คือ

1. สินทรัพย์คืออะไร 2.หนี้สินคือะไร

เพราะสินทรัพย์คือสิ่งที่สร้างเงิน ทำให้คุณมีเงิน มั่งคั่งและร่ำรวยขึ้น

ส่วนหนี้สินพรากเงินจากคุณ ทำให้คุณหมดเงิน มีค่าใช้จ่ายและจนลง

ซึ่งนักลงทุนคือคนที่รู้ว่า อะไรคือสินทรัพย์และสะสมไว้ ละเลยหนี้สิน ดังนั้นจึงยิ่งนานยิ่งรวยขึ้น ห่างไกลจากความยากจนแบบไม่เห็นฝุ่น



แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือ สินทรัพย์หรือหนี้สิน

วิธีการคือ พิจารณาว่า สิ่งของหรือการการกระทำนั้นสร้างเงินสดแก่เราหรือไม่

โดยสินทรัพย์คือ อะไรก็ตามที่สร้างเงินสดแก่เรา ส่วนหนี้สินคือ อะไรก็ตามที่เอาเงินสดออกจากกระเป๋าเรา





โรเบิรต์ คิโยซากิ นักลงทุนระดับโลก ผู้เขียนหนังสือพ่อรวยสอนลูก เคยซื้อคอนโดมูลค่า 56,000 เหรียญ โดยค่าเช่าหักเงินผ่อนแล้ว เขาต้องจ่ายเงินเดือนละ 100 เหรียญ

เขาดีใจจนเนื้อเต้น มั่นใจสุดขีดว่า เป็นสินทรัพย์ดี เพราะ ทำเลดี มีอนาคต หาคนเช่าไม่ยาก เขาบึงรถไปหาพ่อรวยด้วยความดีใจ

คำแรกที่พ่อรวยพูด คือ "เธอต้องขาดทุนเดือนละ 100 เหรียญ เรื่องอะไรที่ต้องลงทุนเสียเงินแบบนั้น ???"

"ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน 100 เหรียญหรอกครับ เพราะคอนโดราคาขึ้นแน่นอน ส่วนขาดทุนยังลดภาษีได้ นายหน้าบอกว่า ถ้าผมไม่เอา มีคนรอต่อคิวซื้อยาวเป็นหางว่าว" เขาตอบ

แต่เธอจะขาดทุนแน่นอน 100 เหรียญ พ่อรวยตอบ ส่วนราคาขึ้น เป็นเรื่องอนาคต ไม่แน่นอน ควบคุมไม่ได้ ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ คนไม่มีเงินซื้อ ราคาตก เธอจะทำไง เธอจะขาดทุนอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ นี้หรือเป็นการลงทุนที่ดี ?? พ่อเริ่มเป็นห่วงเธอซะแล้วสิ"

บทเรียนแรกที่เธอต้องรู้ คือ สินทรัพย์คือเงินที่เข้ากระเป๋า หนี้สินคือเงินไหลออกจากกระเป๋า ดังนั้นบ้านหลังนี้คือ หนี้สินของเธอ แต่เป็นสินทรัพย์ของธนาคาร เพราะสร้างเงินเข้ากระเป๋าธนาคาร 100 เหรียญทุกเดือน และคอนโดนี้ยังเป็นของธนาคาร ไม่ใช่ของเธอจนกว่าจะผ่อนหมด

บทเรียนที่คิโยซากิได้รับคือ ไม่ว่าสิ่งนั้นเหมือนสินทรัพย์ขนาดไหน หากสิ้นเดือน มันเอาเงินออกจากกระเป๋าเรา ก็ถือเป็นหนี้สินทั้งสิ้น



ความรู้นักลงทุนทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอย่างไง


เมื่อรู้ว่าอะไรคือสินทรัพย์และหนี้สิน และมีจิตวิญญาณนักลงทุน ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงหน้ามือเป็นหลังมือ

เพราะนักลงทุนจะมองสิ่งของหรือการกระทำ แตกต่างจากคนธรรมดา โดยมองว่า สิ่งของหรือการกระทำนี้ จะสร้างเงินสดเข้ากระเป๋า หรือ เอาเงินสดออกไปเท่าไหร่

แต่คนธรรมดาจะมองว่าได้อะไรจากสิ่งของหรือการกระทำนี้







ตอนผมเริ่มต้นลงทุน เมื่อรู้นิยามของสินทรัพย์และหนี้สิน ผมเริ่มสำรวจตัวเองว่า มีสินทรัพย์และหนี้สินเท่าไหร่

เมื่อเขียนลงกระดาษ ผมตกใจ ช็อคตาตั้ง เพราะหนี้สินเยอะมาก และเป็นหนี้สินที่ด้อยค่าด้วย

เช่น ค่ากินเหล้า ค่าลงอ่าง ค่าเที่ยว ซื้อโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้งที่เก่าก็ใช้ได้ บัตรเงินสด บัตรเครดิต ค่ารถ ค่าบ้าน ฯลฯ

ผมรู้ทันทีว่า สาเหตุความย่อยยับทางการเงิน เกิดจากผมแบกหนี้สินไว้จนหลังแอ่นนี้เอง





ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลง โดยไม่ก่อหนี้เพิ่ม อะไรไม่จำเป็นไม่ซื้อ ปลดหนี้ทีละอัน เสมือนลดความอ้วน ค่อยๆล้างไขมันส่วนเกินออก

การทำดีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอดทน เพราะความสุข สนุก สำราญ หายเกือบหมด  เหล้า เที่ยว ของใช้ หายไป ต้องเอาเงินไปใช้หนี้สิน


เงินเดือนผมไม่เยอะ เมื่อหักเงินไปล้างหนี้สินก็เหลือไม่มาก บางเดือนเงินไม่พอ ต้องขอยืมพ่อแม่เพื่อประทังชีวิต


มีเดือนหนึ่ง ผมขาดเงินรุนแรงตั้งแต่กลางเดือน ต้องกินข้าวเปล่าและมาม่าติดตอกันนานถึง 10 วัน  จนผมแอบร้องให้คนเดียวตอนกลางคืน คิดว่า ทำไมชีวิตเราช่างบัดซบขนาดนี้ 


แต่ในที่สุด ความพยายามผมก็เห็นผล สุขภาพการเงินกลับมาดีขึ้น หนี้น้อยลง เงินเข้ามาขึ้น 

ผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จากคนเสเพลกลายมาเป็นนักลงทุน มีเงินเหลือ ลงทุน สร้างพอร์ตโตขึ้นเรื่อยๆถึงวันนี้



สรุปคือ ความรู้เรื่องสินทรัพย์และหนี้สิน คือสิ่งแรกที่ต้องรู้ เพราะทำให้เรารู้ว่าอะไรทำให้เรารวยขึ้นหรือจนลงนั่นเองครับ 
Read More »

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สอนเล่นหุ้น : วิธีป้องกันขาดทุนหุ้นจากสินค้าทดแทน


เวลาซื้อหุ้นสักบริษัทฯ  สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ กำไรจะมั่นคงและเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะกำไรเพิ่ม ราคาและปันผลของหุ้นก็เพิ่ม กลับกัน หากกำไรลด ราคาและปันผลจะลดลงตาม


คำถามคือ อะไรคือสาเหตุให้กำไรของบริษัทฯลดลง


บทความนี้ จึงขอกล่าวถึง ภัยคุกคามจาก สินค้าทดแทนซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กำไรลดลง


สินค้าทดแทน คือ สินค้าที่ใช้แทนกันได้เพราะประโยชน์เหมือนกัน เช่น ยาสีฟันแทนใบข่อย รถยนต์แทนรถม้า ทีวีสีแทนขาวดำ เป็นต้น  



Iphone แทนโทรศัพท์แบบเก่า



โดยจะเป็น มหันตภัยร้ายต่อบริษัทฯ ทำให้รายได้หาย กำไรลด ขายสินค้าไม่ได้ เมื่อสินค้าทดแทนนั้น แทนได้ แตกต่าง โดนใจ ดีกว่าเมื่อเปรียบกับสินค้าที่บริษัทขาย เพราะลูกค้าจะเลิกซื้อสินค้า แล้วยกขโยงไปใช้สินค้าทดแทนแทน


ซึ่งสินค้าทดแทนคือ ตัวแสบอันดับหนึ่งที่เคยทำบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก พบหายนะมาแล้ว


ในอดีต Kodak คือบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก สินค้าหลักของ Kodak คือ ฟิลม์ถ่ายรูป


ฟิลม์ของ Kodak ได้รับความนิยมอย่างถล่มถลาย พูดได้ว่าผู้ใช้กล้องถ่ายรูปเกือบทุกคนบนโลกต้องเคยใช้ฟิลม์ของ Kodak ตอนนั้น หากใครบอกว่า Kodak จะล้มละลาย ต้องโดนล้อว่า ไม่บ้าก็เสียสติ เพราะสินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มองยังไงก็ปิดประตูเจ๊ง


แต่การมาของ กล้องถ่ายรูปดิจิตอล ก็ทำให้อาณาจักรของ Kodak ล่มสลาย เพราะเป็นสิ่งค้าที่ใช้งานได้เหมือนกัน แต่ดีกว่า คือ แสดงภาพถ่ายได้ทันที ปรับแต่งแสงสีรูปได้ และอื่นๆ


เมื่อคู่แข่งพัฒนากล้องดิจิตอลอย่างเข้มข้นและนำออกขาย  ยอดขายฟิลม์ถ่ายรูปเริ่มได้ผลกระทบ เพราะคนย่อมชอบสิ่งดีกว่า จึงใช้กล้องดิจิตอลเพิ่มขึ้น  ไม่ต้องการฟิลม์ถ่ายรูปต่อไป


Kodak พยายามแก้เกม เพื่อดับความร้อนแรงของคู่แข่ง  แต่ก็สายเกินแก้  กล้องดิจิตอลกินส่วนแบ่งการตลาดอย่างรวดเร็ว  ส่งผลให้ยอดขายฟิลม์ถ่ายรูปดิ่งเหว รายได้ของ Kodak ลดแบบฮวบฮาบ


ในที่สุด ปี 2555 บริษัทฯต้องยื่นล้มละลายเพราะขาดทุนบักโกรก ปิดตำนานยักษ์ใหญ่ให้เหลือเพียงชื่อ






อีกตัวอย่างหนึ่ง ปี 2011 Steve Job ให้กำเนิด Tablet ชื่อว่า IPAD ซึ่งใช้ประโยชน์ได้เหมือน Notebook ใน Function ยอดฮิตบางอย่าง เช่น  อินเตอร์เน็ต เมล์  Social Network Youtube Ebook ฟังเพลง เล่นเกม ฯลฯ


แต่มีข้อดีกว่าคือ บางเฉียบ เบา พกพาสะดวก และสามารถลง Application ยอดฮิตใน App Store ได้


ตอนนั้น ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ ออกมาตรามาสว่า Tablet ไม่มีทางขึ้นมาทาบรัศมีของ Notebook ได้ แต่ก็หน้าแตกไม่รับเย็บ เมื่อ IPAD ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนบริษัทอื่นกลัว Apple รวยอยู่รายเดียว จึงแห่กันออก Tablet มาขายเพื่อแบ่งเค้ก เกิดเป็นกระแส “Tablet” ฟีเวอร์


ส่งผลให้ยอดขาย Tablet ทั่วโลกพุ่งกระฉูด สวนทางกับยอดขาย Notebook แบบ 180 องศา


Tablet Affect สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก Sonyบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ยกธงขาวขายธุรกิจNotebookทิ้ง เพราะยอดขายไม่กระเตื้อง  HP ไล่พนักงานออกระนาว 30,000 คน เป็นจำนวนที่มากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท  เพื่อลดการขาดทุน และ Intel ปลดพนักงานออกถึง 5% ของพนักงานทั้งหมด เพราะยอดสั่งซื้อ CPU เพื่อใช้ใน Notebook ลดลงอย่างหนัก



ยอดผลิตโน๊ตบุ๊คตกต่ำทั่วโลก




และนี้คือภัยคุกคามจาก สินค้าทดแทน ที่มีต่อบริษัทยักษ์ใหญ่



เราจะหาข้อมูลของ สินค้าทดแทนได้อย่างไร






วิธีการคือ อ่านข่าวให้มากที่สุด เช่น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ข่าวหุ้น  ข่าวจากอินเตอร์เน็ต ฯลฯ เพื่อให้รู้ว่า ธุรกิจไหนรุ่งหรือร่วง เกิดสินค้าทดแทนหรือไม่ สภาวะอุตสาหกรรมเป็นไง


อ.ชาย กิตติคุณาภรณ์ กล่าวว่า ตลอดเวลาเล่นหุ้น 25ปี สิ่งที่เขาทำเกือบทุกวันคือ ติดตามข่าวเศรษฐกิจและบมจ.  เพราะจะได้ทันสถานการณ์ ซึ่งหากมีสินค้าทดแทน หรือ มีเหตุที่ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานบริษัท จะได้ตัดสินใจฉับไวและมีประสิทธิภาพ


นักลงทุนจึงควรเป็นหนอนหนังสือ ยิ่งอ่านเยอะยิ่งดี จะได้เปรียบนักลงทุนขยันน้อยมหาศาลครับ


รู้ได้ไงว่า ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทนก่อตัวแล้ว
1. ยอดขายสินค้าทดแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าสินค้าแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ  ยิ่งการเพิ่มมาจากขายจำนวนมากขึ้นเช่น ผู้ใช้มากขึ้น ขยายสาขา ส่งออกต่างประเทศ ยิ่งยืนยันว่า สินค้าได้รับความนิยม ซึ่งเราสามารถเกาะติดยอดขายได้จากข่าว สื่อต่างๆ อินเตอร์เน็ต หรือการพูดคุยกับคนในวงการนั้น


ควรตรวจสอบด้วยว่า ยอดขายของสินค้าค่อยๆเพิ่มหรือพุ่งเป็นจรวด หากเพิ่มอย่างรวดเร็ว ก็สันนิษฐานไว้เลยว่า อาจส่งผลกระทบกับสินค้าเดิมอย่างรุนแรง ครั้งที่ Iphone  วางขาย มียอดขายพุ่งกระฉูดเกือบทั่วโลก ขายดีจนโรงงานผลิตไม่ทัน สุดท้าย Iphone และSmartphone แบบจอสัมผัส ก็เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือไปตลอดกาล



2.เกิดการเลียนแบบ  เมื่อสินค้าทดแทนวางตลาด แล้วเกิดสินค้ารูปแบบเหมือนกันแต่ต่างยี่ห้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณสะท้อนว่า สินค้าขายได้และมีที่ยืนในตลาดแล้ว มิฉะนั้น คู่แข่งคงไม่ผลิตออกมาขาย



เมื่อสินค้ามีหลายยี่ห้อ จึงเกิดการแข่งขัน ราคาสินค้าจะถูกลง  ลูกค้าจึงมีโอกาสซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วย ยิ่งทำให้ยอดขายสินค้าทดแทนเติบโต จนกินส่วนแบ่งตลาดจากสินค้าเดิมมากไปอีก








3. มีคนประทับใจเป็นวงกว้าง สินค้าทดแทนที่พลิกโฉมอุตสาหกรรม มักเป็น Talk of the town เมื่อ Iphone วางขายครั้งแรก ก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากอเมริกันชนและแพร่กระจายไปทั่วโลก พอวางขายในไทย ผู้ที่ซื้อใช้ 90%พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยอดเยี่ยม คุ้มค่า น่าใช้ การมีคนสนใจจำนวนมาก ทำให้สินค้าน่าสนใจและมียอดขายถล่มถลายในที่สุด





ดังนั้นควรหมั่นตรวจว่าสินค้าสร้างกระแสสังคมได้หรือไม่ ด้วยการดูความเห็นตาม Web board ว่าคนพูดถึงอย่างไร  มีข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับหรือไม่ โทรทัศน์ทำรายงานพิเศษไหม คนรอบข้างหันมาใช้หรือเปล่า ถ้าหากมีกระแสสังคมอย่างร้อนแรง ก็เดาได้เลยว่า สินค้าทดแทนนี้ จะสร้างปัญหาหนักให้ยอดขายสินค้าเก่าแน่ครับ


Read More »
Google