ย้อนกลับไปหลายปีก่อน
PTTEPคือหุ้นของบริษัทพลังงานที่มีความสามารถทำกำไรสูงมาก
สินค้าของบริษัทคือน้ำมันดิบและก๊าซเป็นสิ่งจำเป็นของสังคมไทย
ความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คู่แข่งก็น้อย
ปีๆหนึ่ง PTTEPจึงมีกำไรเกือบ5หมื่นล้านบาท
ติด 1ใน5 ของบริษัทที่กำไรสูงสุดในไทย
ด้วยความที่สินค้าเปรียบเหมือนอากาศซึ่งคนขาดไม่ได้
PTTEPจึงได้รับความเชื่อมั่นอย่างสูงจากนักลงทุนว่า
เป็นบริษัทที่มีกำไรมั่งคงเหมือนเสาหิน ไม่ผันผวนง่ายๆ
ปลายปี 2557 ราคาน้ำมันตกต่ำ
ลดลงจาก 100$/Barrel มาอยู่ที่ 70$
ส่งผลให้ราคาหุ้นPTTEPร่วงตาม
ช่วงนั้นผมได้ยินนักลงทุนหลายท่านพูดว่า
นี้เป็นโอกาสทองฟังเพชร ในการซื้อหุ้นPTTEP
เพราะถ้าราคาน้ำมันต่ำมากๆ
ผู้ผลิตทั่วโลกก็จะลดการผลิต
เมื่อชัพพลายน้อยลง ราคาน้ำมันจะพลิกกลับสูงขึ้น
ราคาหุ้นPTTEPย่อมฟื้นคืนเป็นเงาตามตัว
ซื้อหุ้นตอนนี้ อนาคตคงขายได้กำไรงาม
ทำให้ตอนนั้น คนจึงแห่ช้อนซื้อหุ้น PTTEPอย่างคึกคัก
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังคาด
ราคาหุ้นPTTEPตกต่อเนื่อง ดิ่งลงเหมือนรถตกเขา
จากปี 2557 ราคาหุ้นPTTEPประมาณ 170บาท
ต้นปี2559 เหลือแค่ 42 บาท ลดลง 76%
ส่งผลให้นักลงทุนที่ช้อนซื้อ ช้อนหักไปตามๆกัน
สาเหตุที่ราคาหุ้น PTTEPลดหนัก มาเฉลยในปี 2559 นี่เองว่า
อุตสาหกรรมน้ำมันเปลี่ยนแปลงแล้วอย่างสิ้นเชิง
เพราะการเฟื่องฟูของShale Oil
ที่ทำให้ซัพพลายน้ำมันโลกเพิ่มขึ้นมากแบบถาวร
ฐานราคาน้ำมันจึงต่ำลง
รายได้ของPTTEPจึงตกและยากจะกลับไปสูงเหมือนอดีตอีกครั้ง
ประเด็นคือ กว่าจะรู้ชัดเจนว่าพื้นฐานบริษัทเปลี่ยนแปลง
ราคาหุ้นก็ถึงจุดต่ำสุดเสียแล้ว
เหตุการณ์ข้างต้น คือความเสี่ยงของการลงทุนแบบหนึ่ง
ยิ่งเกิดกับบริษัทที่ใหญ่และมั่นคง ยิ่งอันตราย
เพราะความเชื่อมั่นมักทำให้เกิดภาพลวงตาว่า
บริษัทยังดีอยู่ ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอาจไม่เหมือนเดิมแล้ว
คำถามคือ จะป้องกันตัวความเสี่ยงดังกล่าวได้อย่างไร
คำตอบส่วนตัวผมคือ ใช้กราฟราคาเป็นตัวช่วย
เพราะราคาหุ้นสะท้อนทุกสิ่ง
หากบริษัทเกิดปัญหาซึ่งทำให้ปัจจัยพื้นฐานแย่ลง
ราคาหุ้นจะดิ่งเหว เกิดเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend)
และหากสถานการณ์ของบริษัทฯยังไม่ดีขึ้น
หรือว่ามีปัจจัยลบอื่นรออยู่ในอนาคต ราคาหุ้นจะตกต่อ
ตกเรื่อยไปจนกว่าบริษัทฯจะแก้ไขสถานการณ์ได้
เมื่อนั้นราคาหุ้นจึงเริ่มหยุดตก หรือพลิกเพิ่มขึ้น
insider คือธรรมชาติของตลาดทุน |
ทำไมราคาหุ้นจึงสะท้อนทุกสิ่ง
เพราะมันเสมือนเป็นนักข่าวที่รายงานว่า
เจ้าของบริษัท รายใหญ่ และตลาด รู้สึกหรือทำอะไรกับหุ้นตัวนี้
ลองจินตนาการว่า เมื่อบริษัทฯเริ่มประสบปัญหา
คนแรกที่รู้คือเจ้าของบริษัท
ต่อมาคือรายใหญ่ซึ่งเข้าถึงข้อมูลก่อนใคร
พวกเขาจึงขายหุ้น
เมื่อแรงขายมากกว่าแรงซื้อ
จึงสะท้อนออกมาที่ราคาหุ้นลดลง
และหากกลุ่มคนข้างต้นเห็นว่า
สถานการณ์ของบริษัทเหมือนคนป่วยที่ยังไม่ฟื้น
จึงไม่ซื้อหุ้นเพราะไม่มั่นใจ ราคาหุ้นจึงตกต่อ
ตกไปเรื่อยๆจนถึงจุดที่ปัญหาของบริษัทได้รับการแก้ไข
สถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆจากจุดที่เป็น
ซึ่งผู้ที่รู้ว่าคนป่วยหายแล้วเป็นกลุ่มแรก
ก็คือกลุ่มคนที่ขายก่อนใครนั่นแหละ
พวกเขาจึงช้อนซื้อหุ้น เมื่อแรงซื้อมากกว่าแรงขาย
ราคาหุ้นจึงไม่ลด และพลิกเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
สรุปคือกราฟราคาหุ้นช่วยให้เรารู้สถานการณ์แท้จริงของบริษัท
เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการซื้อผิดจังหวะครับ
2หัวดีกว่าหัวเดียวจริงหรือ ??
มีคนถามผมบ่อยว่า
การใช้พื้นฐานผสานเทคนิค
เมื่อเปรียบกับใช้พื้นฐานและเทคนิคเพียงอย่างเดียว
มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
คำตอบส่วนตัวผมคือ หากเป้าหมายคือส่วนต่างราคาหุ้น
การใช้2อย่างร่วมกัน สร้างกำไรไม่ต่างกับใช้อย่างเดียว
แต่เสียเวลามากกว่า
เพราะต้องวิเคราะห์ทั้งพื้นฐานและเทคนิคร่วมกัน
อุปมาเหมือนคน2คนทำงานลักษณะเดียวกัน
คนหนึ่งทำ 4ชั่วโมงต่อวัน อีกคนทำ8ชั่วโมง
แต่ค่าแรง 300 เท่ากัน ได้เงินเท่ากันแต่กินแรงแตกต่าง
**อย่างไรก็ตาม หากคุณใช้พื้นฐานผสานเทคนิคแล้วก็กำไร
ก็ใช้ต่อไปเถอะครับ เพราะแนวทางการลงทุนใดที่คุณกำไรและพอใจ ก็ดีทั้งนั้น**
คำถามต่อมาคือ แล้วผมใช้พื้นฐานผสานเทคนิคเพื่ออะไร ??
คำตอบคือ การใช้2อย่างร่วม
คือเครื่องมืออันทรงพลัง
สำหรับการเล่นหุ้นที่มีเป้าหมายเพื่อ "สร้างกระแสเงินสด" (Cashflow)
เพราะทำให้เรามีเงินสดมากขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
และป้องกันความเสี่ยงจากการที่หุ้นตัวนั้น
ไม่ใช่เครื่องจัการสร้างกระแสเงินสดที่ดีอีกต่อไป
ซึ่งรายละเอียดของการเล่นหุ้นเพื่อสร้างกระแสเงินสด
จะเขียนต่อในตอนที่2นะครับ
สรุป การใช้กราฟราคาช่วยในการลงทุน
มีข้อดีคือ ป้องกันความเสี่ยงจากการซื้อหุ้นผิดจังหวะ
เป็นวิธีที่เหมาะกับการเล่นหุ้นที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างกระแสเงินสด
เพราะทำให้เรามีเงินสดมากขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มครับ
สนับสนุนความรู้ - เรียน Adwords เชิงกลยุทธ์ By SearchMonopoly
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น