หมายเหตุ * บทความนี้เป็นเพียง ข้อคิดเห็นส่วนตัว มิใช่ ความจริงแท้ หรือ สูตรสำเร็จ ที่ทำให้เพื่อนนักลงทุนกำไรครั้งละมากๆ นักลงทุนควรหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน *
จากความตอนที่แล้ว วันนี้มาต่อเรื่องการใช้
Five
Force Model (เรียกย่อว่า FFM ) มาใช้ลงทุนครับ
สำหรับผมเอง จะมี Roadmap
"การนำ FFM มาลงทุน" ดังนี้
รู้สภาวะอุตสาหกรรมกับ FFM
ข้อมูลสำคัญจาก FFM ก็คือ ภาวะอุตสาหกรรม “เอื้อ”
ต่อการทำ “กำไรดี” และ
”ยั่งยืน” แค่ไหน
โดยความเห็นส่วนตัว ถ้าเราจำแนกหัวข้อ FFM
ที่ส่งผลกับ “กำไรดี” และ
“ ยั่งยืน “ ก็จะเป็นดังตารางข้างล่างนี้
ซึ่งวิธีใช้งานตารางข้างบนก็คือ อุตฯไหน มีหัวข้อ ภัยคุกคาม = ต่ำ มากหัวข้อเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่า บริษัทในอุตฯ มีโอกาส “กำไรดี” มากขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น ในอดีต
อุตสาหกรรมสัมปทาน เช่น ขุดบ่อน้ำมัน หรือ โทรคมนาคม จะมีภัยคุมคาม = ต่ำ
เกือบทุกหัวข้อ (จากทั้งหมด 5 หัวข้อ)
บริษัทผู้นำตลาดในอุตฯจึงสวาปามกำไรขั้นต้นในอัตราสูงอย่างสำราญบานสะดือและต่อเนื่องหลายปี
แตกต่างกับ อุตสาหกรรมขายปลีก IT ที่ภัยคุมคาม = สูง
เกือบทุกหัวข้อ บริษัทฯจึงมีกำไรต่่ำเตี้ยติดดินและต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อรอดชีวิตต่อไปธุรกิจ
ซึ่งหากเพื่อนนักลงทุน
มีโอกาสวิเคราะห์ FFM หลายๆอุตสาหกรรม และลองนำมาเปรียบเทียบกัน ก็จะรู้ทันทีว่า
บริษัทฯไหน อยู่ไหนอุตฯที่เหมาะสม ต่อการทำกำไรมากกว่า
เพื่อจะนำข้อมูลมาตัดสินใจในขั้นต่อไป
เลือกอุตฯที่เหมาะกับเป้าหมายการลงทุน
เมื่อทราบสภาวะอุตสาหกรรมจาก
FFM
ขั้นต่อมาก็คือ เลือกอุตสาหกรรมให้เหมาะกับเป้าหมายลงทุน
โดยสามารถแบ่งเป้าหมายการลงทุนเป็น
2
ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้
1. รับเงินปันผลสูงกว่าดอกเบี้ยฝากธนาคาร
นักลงทุนที่หวัง
รับเงินปันผลในอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยฝากธนาคาร เหมาะลงทุนในอุตฯที่ภัยคุกคาม =
ต่ำ หลายหัวข้อ หรือ ทั้งหมดเลยยิ่งดี
เพราะบริษัทฯผู้นำในอุตฯแบบนี้
มักมีกำไรสูงต่อเนื่องจนมีสภาพคล่องส่วนเกินมากพอจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นทุกปี
บางบริษัท " สปอร์ต ใจดี " จ่ายปันผลได้ถึง 6-8% ต่อปีและยังมีแนวโน้มเช่นนี้ต่อไปในอนาคต
บริษัทแบบนี้จึงเหมือนเครื่องจักรผลิตเงินชั้นดีให้กับนักลงทุนที่มุ่งหวังเงินปันผลในอัตราที่สูงครับ
2. หวังส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
นักลงทุนที่หวังส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก
เหมาะลงทุนใน” คู่แข่ง “ ของอุตฯที่ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน = สูง
เพราะบริษัทคู่แข่ง อาจมี “ของดีทีเด็ด” ที่เสมือนแม่เหล็กขนาดยักษ์ คอยดูดลูกค้าจำนวนมาก มาจากอ้อมกอดของเจ้าตลาดเดิม จนรายได้และราคาหุ้น(หากบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์) ของบริษัทคู่แข่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในอดีต การกำเนิดของสินค้าทดแทน ที่ชื่อ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Discount
Store) ทำให้รายได้ของ อุตฯค้าปลีกรายย่อย
หรือ พื้นที่เช่าตลาดสด ลดลงอย่างรวดเร็วราวกับระดับน้ำของเขื่อนแตก
เพราะประชาชนแห่กันไปใช้บริการของ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ที่สินค้าราคาถูกและมีความสะดวกสบายมากกว่า
เพราะประชาชนแห่กันไปใช้บริการของ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ที่สินค้าราคาถูกและมีความสะดวกสบายมากกว่า
รายได้และราคาหุ้นของบริษัท
ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ จึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับสินทรัพย์ของนักการเมืองไทย
ตัวอย่างก็คือ BIGC ที่ราคา IPO = 60 บาท ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 217 บาท คิดเป็น % เพิ่มกว่า 300% ครับ
สรุป การใช้
FFM กับการลงทุน
สาระสำคัญจาก
FFM ก็คือ ภาวะอุตสาหกรรม “เอื้อ”
ต่อการทำ “กำไรดี” และ
”ยั่งยืน” แค่ไหน เพื่อนนักลงทุนที่ทราบภาวะหลายๆอุตสาหกรรม
ก็จะเลือกได้ว่า อุตสาหกรรมไหน เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนที่สุด
นักลงทุนที่หวังรับเงินปันผลในอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยฝากธนาคาร
เหมาะลงทุนในอุตฯที่ภัยคุกคาม = ต่ำ หลายๆหัวข้อ
เพราะบริษัทผู้นำในอุตฯมีความสามารถในการจ่ายปันผลต่อเนื่อง
ส่วนผู้ที่หวังส่วนต่างราคาหุ้น บริษัทคู่แข่ง ของอุตฯที่ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
=
สูง เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
เพราะรายได้และกำไรมีโอกาสเพิ่มสูงต่อเนื่อง เป็นผลให้ราคาหุ้นสูงตามไปด้วย
The End
ขอบพระคุณครับ ^__^
นักเก็งกำไรด้วยปัจจัยพื้นฐาน
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน 3.0 ประเทศไทย.
อยู่บนพื้นฐานของงานที่ http://thai-hybridinvestors.blogspot.com/.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น